บทที่ 4 4
ฉินจิ้นเหอมองบันทึกลับที่ส่งต่อกันระหว่างฮ่องเต้ด้วยสายตาเคร่งขรึม เขาเคยเห็นพระราชบิดาซึ่งเป็นอดีตฮ่องเต้อ่านแล้วจดบันทึกเรื่องราวสำคัญในยุคสมัยของพระองค์ลงไป เพราะเคยทำหน้าที่ฝนหมึกให้ในห้องทรงพระอักษร
“บันทึกลับของฮ่องเต้ กระหม่อมไม่อาจเปิดอ่านได้พ่ะย่ะค่ะ บันทึกนี้มีเพียงฮ่องเต้เท่านั้นที่สามารถเปิดอ่านได้”
ฉินซือเฉิงเบนสายตามองฉินจิ้นเหอ “มีแต่พวกน่ารำคาญ เจ้าไม่รู้หรือว่าเป็นฮ่องเต้เหนื่อยแค่ไหน ข้าไม่อยากเปิดอ่าน เจ้ารับเอาไปทำตามคำสั่งข้าเถอะ” ฉินซือเฉิงบอกปัดอย่างรำคาญ ขณะที่ฉินจิ้นเหอก้มหน้าซ่อนสายตาดูแคลนจักรพรรดิที่แสนโง่เง่าคนนี้
เมื่อฮ่องเต้อ่อนแอ ราชบัลลังก์สั่นคลอน ดังนั้นเมื่อจางกวงหมิงเสนาบดีฝ่ายขวาผู้มีฐานอำนาจสูงสุดในวังหลวง เสนอลูกสาวมาเป็นฮองเฮา ฉินซิอเฉิงจึงรับไว้อย่างไม่ต้องคิดมาก เพราะต้องการพวกพ้อง การได้เสนาบดีฝ่ายขวามาเป็นพวกจึงเป็นเรื่องดี
แต่ตอนนี้จางกวงหมิงมีบทบาทมากเกินไป เขาจึงคิดจะกำจัดทิ้งเพราะเป็นคนขี้ระแวง
“ถ่ายทอดคำสั่งของข้าลงไป จางกวงหมิงคิดก่อกบฏ ขัดพระราชโองการให้ประหารทั้งตระกูล”
พระราชโองการของโอรสสวรรค์ถูกนำไปถ่ายทอดอย่างรวดเร็ว ไม่ช้าจวนอัครเสนาบดีฝ่ายขวาก็ถูกทหารองครักษ์ประจำเมืองหลวงบุกเข้าไปอย่างหยาบคาย ไร้ความยำเกรง จับกุมตัวของคนสกุลจางทุกคนไปยังแท่นประหาร
ข่าวนี้ยังไม่รู้ถึงหูของจางชิงหลินที่ยังนอนป่วยอยู่ในตำหนัก นางกำนัลของจางชิงหลินถูกปล่อยตัว และค่อยๆซมซานกลับมายังตำหนักเย่วซินในอีกสองวันถัดมา
“ฮองเฮาเพคะ”
จางชิงหลินค่อยๆปรือตาขึ้น เปลือกตานางหนักอึ้งราวกับมีหินมากดทับ ไม่มีใครดูแลนาง นางนอนป่วยอยู่ในตำหนักคนเดียว คืนอันหนาวเหน็บโหดร้ายที่นางยืนตากหิมะผ่านไปอย่างแสนทรมาน
นางป่วยนอนซมต้องกินยาที่หมอหลวงนำมาวางไว้ให้และไม่ออกไปจากตำหนักอยู่สองวันเต็ม โชคดีที่วันนั้นนางแอบเอาเตาอุ่นมือเข้าไปด้วย ไม่เช่นนั้นนางคงตายไปแล้ว
“พวกเจ้าเองหรือ ลู่เจียว จิวฮุ่ย”
“เพคะ พวกหม่อมฉันกลับมาแล้ว”
“ข้าทำให้พวกเจ้าลำบากแล้ว” จางชิงหลินพูดเสียงแผ่วเบา
“ฮองเฮาอย่าตรัสเช่นนั้นเพคะ เป็นหน้าที่ของพวกหม่อมฉันที่ต้องปกป้องฮองเฮา” ลู่เจียวเอ่ยแล้วพากันร้องไห้
จางชิงหลินขมวดคิ้ว “พวกเจ้าร้องไห้ทำไมกัน”
“ฮองเฮาเพคะ” ลู่เจียวกับจิวฮุ่ยปรึกษากันแล้วว่าต้องบอกเรื่องสำคัญนี้ให้กับจางชิงหลินรู้ “สกุลจางของฮองเฮาถูกฮ่องเต้สั่งประหารหมดแล้วเพคะ”
จางชิงหลินเบิกตากว้าง น้ำตาพลันไหลรินออกมาเป็นสาย ถ้ากลั่นเป็นเลือดได้นางคงกลั่นออกมาเป็นเลือดแล้ว
“เมื่อไร” นางกลั่นเสียงถามออกไป
“เมื่อสองวันก่อนเพคะ เป็นความผิดของพวกหม่อมฉันที่มาทูลช้าไป”
“ท่านอำมหิตยิ่งนัก” จางชิงหลินตัวสั่นสะท้าน หัวใจหนาวเหน็บ “ต่อไปคงถึงตาข้าแล้ว”
พูดจบก็มีขันทีประกาศการมาถึงของสตรีสูงศักดิ์ จางชิงหลินยิ้มเยาะให้กับวาสนาแสนอาภัพ ภักดีคนผิด คิดได้เมื่อสายจริงๆ
“เซียวกุ้ยเฟยขอเข้าเฝ้าฮองเฮาพ่ะย่ะค่ะ” เสียงขันทีประกาศ
จางชิงหลินกัดฟันแน่น “ให้นางเข้ามา” จางชิงหลินกัดฟันตอบเสียงต่ำ แววตากล้าแข็งอย่างที่ไม่เคยเป็นมาก่อน
นางจะไม่มีวันอ่อนแอให้เซียวลี่อินเห็น
เซียวลี่อินเยื้องย่างเข้ามา กวาดตามองอย่างพึงพอใจเมื่อเห็นสภาพซีดเซียวของสตรีที่เป็นใหญ่ในหกตำหนักแต่อีกไม่ช้าจะต้อยต่ำกว่านาง
“ฮองเฮาเพคะ วันนี้หม่อมฉันมาทูลให้ฮองเฮาทรงทราบว่าฮองเฮาถูกปลดจากตำแหน่งแล้วเพคะ ฝ่าบาททรงทำหนังสือหย่าและมอบหนังสือถอดถอนให้หม่อมฉันถือมาให้ฮองเฮาแล้วเพคะ”
จางชิงหลินรับมาแล้วปาทิ้งกับพื้น
“เราไปทำอะไรให้เจ้า หรือว่าเจ้าอยากนั่งบัลลังก์หงส์นี้มากจนทำร้ายได้แม้กระทั่งผู้มีพระคุณ”
เซียวลี่อินมองหนังสือหย่าที่ตกกระทบพื้นแล้วยิ้มมุมปาก “ใช่แล้วเพคะ หม่อมฉันอยากได้บัลลังก์หงส์ของฮองเฮา หม่อมฉันอยากได้ตำหนักนี้ อยากเป็นใหญ่เหนือสตรีทุกนาง หม่อมฉันอยากอยู่ในจุดที่ฮองเฮาเคยอยู่” นางหยุดพูดครู่หนึ่งก่อนดวงตาวาวโรจน์ขึ้นแล้วเปลี่ยนสรรพนาม “ตั้งแต่เกิดคุณหนูก็ได้เสพสุขมามากพอแล้วก็ควรสละได้เสียที ข้าลำบากมาตั้งแต่วัยเยาว์ ต้องคอยรับใช้คุณหนูไม่เว้นแต่ละวัน ตอนนี้ข้าจะได้เสพสุขบ้างเสียที” จากนั้นเซียวลี่อินก็ปล่อยเสียงหัวเราะเยาะเย้ยอย่างสาแก่ใจ
“เจ้ามันชั่วช้า เลี้ยงไม่เชื่อง”
“เพคะ”
“ออกไปจากที่นี่เดี๋ยวนี้”
เซียวลี่อินยิ้มมุมปาก ก่อนตวาดเสียงดัง “เจ้านั่นแหละ...ที่ต้องออกไป ฝ่าบาทปลดเจ้าออกตำแหน่งฮองเฮาแล้ว เจ้ายังกล้าวางท่าเป็นนายทั้งหกตำหนักนี้อีกเหรอ”
จางชิงหลินแข็งใจลุกขึ้น แม้จะยากเย็นเพียงใดก็ตาม ศักดิ์ศรีในตัวนางที่มีตอนนี้ถูกนางรีดเค้นมาใช้ทุกหยาดหยด
“เซียวลี่อิน ถึงแม้ข้าตายไป ข้าก็จะไม่มีวันละเว้นเจ้าจำเอาไว้”
“ฮองเฮาทรงคิดว่าจะได้กลับมาวังหลวงแห่งนี้อีกหรือเพคะ โชคดีเท่าไรแล้วที่ฮองเฮาไม่ถูกประหารตามครอบครัวไปด้วยแต่แค่ถูกขับออกจากวังหลวงไปเป็นสามัญชน ถ้าหม่อมฉันไม่เห็นแก่ที่เคยเป็นนายบ่าวกันมาก่อน หม่อมฉันจะไม่มีวันให้ฮองเฮาออกไปจากที่นี่อย่างมีลมหายใจ” เซียวลี่อินพูดน้ำเสียงเหี้ยมเกรียม สีหน้าไม่แปรเปลี่ยน
จางชิงหลินรักษาสีหน้าสงบเยือกเย็นไว้ได้ แม้ภายในร่างกายจะปั่นป่วนจนแทบจะกระอักโลหิตออกมา นางเลือกที่จะไม่ตอบโต้ เพราะต้องการรักษาชีวิตน้อยๆนี้ไว้
“หม่อมฉันส่งเสด็จแค่นี้นะเพคะ”
จางชิงหลินไม่มองเซียวลี่อินอีก ก็เดินออกมาจากตำหนัก นางสวมชุดสีขาวราบเรียบอยู่แล้วจึงไม่ต้องเปลี่ยนชุดอีก ลู่เจียวกับจิวฮุ่ยรีบเก็บข้าวของตามออกมา เพราะถูกขับออกจากวังตามผู้เป็นนายออกมาด้วย
